กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง
ส่วนหนึ่งของประชากรที่ผู้วิจัยสุ่มมาศึกษาในงานวิจัย
ในงานวิจัย ผู้วิจัยอาจศึกษาจากประชากรหรือศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างก็ได้
แต่โดยทั่วไปแล้วหากประชากรมีขนาดใหญ่จะศึกษาจากลุ่มตัวอย่างแทนประชากร
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
1. การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยการคำนวณจากสูตร โดยใช้การกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนที่นิยมใช้
แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ
1.1 การคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างในกรณีที่ทราบจำนวนประชากร
หรือในกรณีที่ประชากรมีจำนวนจำกัดที่นับได้
2.
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูป
2.1
ตารางสำเร็จรูปหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane
2.2
ตารางสำเร็จรูปคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ R.V.Krejcie
และ D.W.Morgan
การสุ่มตัวอย่างจากประชากร (Random selection)
การสุ่มตัวอย่างจากประชากรมีวัตถุประสงค์
คือ
เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
ซึ่งจะช่วยให้ผลการวิจัยมีความตรงภายนอก
สามารถอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัยผลการวิจัยที่ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างและอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัย
ประชากรที่จะอ้างอิงถึงได้นั้นจะต้องเป็นประชากรที่มีลักษณะเหมือนกับลักษณะของกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยซึ่งลักษณะที่เหมือนกันนี้
ครอบคลุมทั้งในด้านคุณลักษณะ บริบท หรือสถานที่ และเวลา
การสุ่มตัวอย่างจากประชากร มีความสำคัญมากสำหรับงานวิจัยเชิงสำรวจ (survey research)
วิธีการสุ่มตัวอย่าง (sampling methods)
วิธีการสุ่มตัวอย่าง
จำแนกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
1. วิธีสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น
(Probability sampling)
วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น
เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างโดยหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างเท่าเทียมกัน
ปราศจากอคติหรือความลำเอียงในการสุ่มตัวอย่าง
การสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็นทำให้มั่นใจว่าจะได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรสูงกว่าการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น
ข้อมูลที่รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มโดยใช้หลักความน่าจะเป็น สามารถนำมาทดสอบนัยสำคัญทางสถิติโดยใช้สถิติอ้างอิง
และผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัยได้
1.1 การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (simple random sampling)
การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย
เป็นวิธีการสุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากร
มีโอกาสถูกสุ่มเท่าเทียมกัน โดยปราศจากอคติ ความลำเอียง ส่วนความไม่เท่าเทียมกันในด้านคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างเป็นความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดจากการสุ่ม
(random
error)
ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนโดยบังเอิญ
วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายที่นิยมใช้
1.
วิธีจับฉลาก
2.
วิธีใช้ตารางเลขสุ่ม
ข้อดีของการสุ่มแบบง่าย
1.ง่าย
2.ความผิดพลาดจากการสุ่มจัดได้ง่าย
ข้อเสียของการสุ่มแบบง่าย
1.
ต้องมีกรอบตัวอย่าง
2.
อาจไม่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุด
3.
ตัวอย่างที่ได้อาจไม่กระจาย
1.2.1
การสุ่มตัวอย่างแบบมีส่วนร่วม(systematic
random sampling)
การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
เป็นวิธีการสุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรที่ได้กำหนดไว้ในกรอบตัวอย่าง
(sampling frame)
ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
1.
กำหนดขนาดตัวอย่าง (sample size)
2.
คำนวณช่วงที่ใช้ในการสุ่มตัวอย่าง
โดยการนำจำนวนประชากรทั้งหมดหารด้วยขนาดตัวอย่างที่
กำหนดไว้ในข้อ 1 หรือหาจากสูตร
I = N/n
3. สุ่มหมายเลขตั้งต้นระหว่างหมายเลข
1 ถึง I จำนวน 1 หมายเลข โดยใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย
เพื่อนำมาเป็นหมายเลขตั้งต้น ซึ่งได้หมายเลข R สุ่มตัวอย่างจากประชากรในกรอบตัวอย่าง
ให้ได้ขนาดตามที่กำหนดไว้ โดยใช้ หมายเลข R มาบวกกับค่าช่วงที่ใช้ในการสุ่มตัวอย่างที่คำนวณได้ในข้อ
2 โดยใช้สูตร R, R+I, R+2I, R+3I, …….. +R +(n=1)
1.3 การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (stratified
random sampling)
เป็นการสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่มีลักษณะแตกต่างกันมาก
โดยนำลักษณะที่แตกต่างมาแบ่งชั้น
โดยมีวัตถุประสงค์ให้หน่วยตัวอย่างภายในชั้นเดียวกันมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด
และหน่วยตัวอย่างระหว่างชั้นมากที่สุด
เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้ครอบคลุมลักษณะต่างๆของประชากร
ซึ่งจะทำให้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
ผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปยังประชากรได้
ข้อดี
1.
แม่นยำ
2.
สามารถแยกผลสรุปออกมาแต่ละกลุ่ม
ข้อเสีย
ยากในการวัด sampling error
1.4 การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster
sampling)
การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มเหมาะสำหรับประชากรของงานวิจัยที่มีขนาดใหญ่มาก ในกลุ่มจะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่จะมีลักษณะเหมือนกันระหว่างกลุ่ม
ดังนั้นจึงเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเป็นตัวอย่าง และสุ่มตัวอย่างจากกลุ่มนั้น เช่น
ถ้าทำการศึกษาคุณภาพชีวิตของประชากรในภาคเหนือ
ถ้าประชากรแต่ละจังหวัดของประชากรในภาคเหนือมีลักษณะเหมือนกัน
ก็สามารถเลือกจังหวัดหนึ่งมาเป็นตัวแทนเพื่อศึกษาได้
ข้อดี
1.
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำ
2.
จะได้ชื่อตัวอย่างทั้งหมด
ข้อเสีย
ไม่แม่นยำถ้ามีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม
2. วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช่ความน่าจะเป็น
(non-probability sampling)
เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการที่ว่าหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน มีข้อจำกัดในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติพาราเมตริกซ์
(parametric
statistics)
เนื่องจากเงื่อนไขประการหนึ่งของสถิติพาราเมตริกซ์ คือ
กลุ่มตัวอย่างต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างตามหลักความน่าจะเป็น
2.1 การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ หรือการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Accidental
sampling or convenience sampling)
เป็นการสุ่มตัวอย่างที่ใช้ความสะดวกของผู้วิจัย
ผู้วิจัยสามารถรวบรวมข้อมูลได้จากกลุ่มตัวอย่างที่สนใจ
การรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวก
แต่เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลที่มีจุดอ่อนในด้านความเป็นตัวแทนของประชากร
ผลการวิจัยจึงมีขอจำกัดในการอ้างอิงไปยังประชากร
ดังนั้นเพื่อให้ผลการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงไปยังประชากรจึงไม่ควรใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีนี้
2.2 การสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีบอกต่อ (Snowballing
sampling)
เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับนำมาใช้กับประชากรของงานวิจัยที่หายากหรือพบได้น้อยมาก
รวมทั้ง
ผู้วิจัยไม่อาจทราบจำนวนที่แน่นอนได้
ข้อดีของการศึกษาจากตัวอย่างขนาดใหญ่
1.
เพิ่มอำนาจการทดสอบทางสถิติ
2.
ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานลดลง
3.
ค่าสถิติมีค่าใกล้เคียงพารามิเตอร์
ข้อเสียของการศึกษาจากตัวอย่างขนาดใหญ่
ไม่มีนัยสำคัญทางปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น