วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2566

การวิจัย คือ



การวิจัย คือ การค้นคว้าหาความจริงโดยวิธีการอย่างมีระบบที่เชื่อถือได้ หรือวิธีการวิทยาศาสตร์นั่นเอง [Lehmann and Mehrens อ้างโดย ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา 2536 หน้า 9]
การวิจัย คือ การวิจัยทางสังคมเป็นวิธีการศึกษาวิเคราะห์และกำหนดแนวความคิดเกี่ยวกับ ชีวิตทางสังคม เพื่อที่จะขยาย แก้ไข หรือพิสูจน์ความรู้ ไม่ว่าความรู้นั้นจะช่วยสร้างทฤษฏีหรือใช้ในการปฏิบัติ [อำนวย ชูวงษ์ ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์ 2519 หน้า 3]
การวิจัย คือ การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์โดยใช้วิธีทางตรรกวิทยาอย่างมีระบบ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงใหม่ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเก่า และเพื่อวิเคราะห์ผลก่อนหลังของความสัมพันธ์ระหว่างกัน
การวิจัย คือ การตั้งคำถาม แล้วดำเนินการ เพื่อหาคำตอบ
การวิจัย คือ กระบวนการคิด แล้วทำอย่างเป็นระบบ เพื่อค้นหาองค์ความรู้ใหม่ หรือพิสูจน์ความรู้เดิม

วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2566

กลุ่มตัวอย่าง



กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
          กลุ่มตัวอย่าง  หมายถึง  ส่วนหนึ่งของประชากรที่ผู้วิจัยสุ่มมาศึกษาในงานวิจัย
          ในงานวิจัย ผู้วิจัยอาจศึกษาจากประชากรหรือศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วหากประชากรมีขนาดใหญ่จะศึกษาจากลุ่มตัวอย่างแทนประชากร
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
           1.  การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยการคำนวณจากสูตร  โดยใช้การกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนที่นิยมใช้ แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ
                    1.1  การคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างในกรณีที่ทราบจำนวนประชากร หรือในกรณีที่ประชากรมีจำนวนจำกัดที่นับได้
 
         2.   การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูป
              2.1  ตารางสำเร็จรูปหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane
              2.2  ตารางสำเร็จรูปคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ R.V.Krejcie และ D.W.Morgan

การสุ่มตัวอย่างจากประชากร (Random selection)
         การสุ่มตัวอย่างจากประชากรมีวัตถุประสงค์ คือ  เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ซึ่งจะช่วยให้ผลการวิจัยมีความตรงภายนอก  สามารถอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัยผลการวิจัยที่ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างและอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัย ประชากรที่จะอ้างอิงถึงได้นั้นจะต้องเป็นประชากรที่มีลักษณะเหมือนกับลักษณะของกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยซึ่งลักษณะที่เหมือนกันนี้ ครอบคลุมทั้งในด้านคุณลักษณะ บริบท หรือสถานที่ และเวลา
         การสุ่มตัวอย่างจากประชากร มีความสำคัญมากสำหรับงานวิจัยเชิงสำรวจ (survey  research)
วิธีการสุ่มตัวอย่าง (sampling methods)
         วิธีการสุ่มตัวอย่าง จำแนกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
         1. วิธีสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น (Probability  sampling)  
              วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างโดยหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างเท่าเทียมกัน ปราศจากอคติหรือความลำเอียงในการสุ่มตัวอย่าง  การสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็นทำให้มั่นใจว่าจะได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรสูงกว่าการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น  ข้อมูลที่รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มโดยใช้หลักความน่าจะเป็น   สามารถนำมาทดสอบนัยสำคัญทางสถิติโดยใช้สถิติอ้างอิง และผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัยได้
         1.1  การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (simple random sampling)  
                 การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เป็นวิธีการสุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากร มีโอกาสถูกสุ่มเท่าเทียมกัน โดยปราศจากอคติ ความลำเอียง   ส่วนความไม่เท่าเทียมกันในด้านคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างเป็นความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดจากการสุ่ม (random error)  ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนโดยบังเอิญ
วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายที่นิยมใช้
1.    วิธีจับฉลาก
2.    วิธีใช้ตารางเลขสุ่ม
ข้อดีของการสุ่มแบบง่าย
1.ง่าย
2.ความผิดพลาดจากการสุ่มจัดได้ง่าย
ข้อเสียของการสุ่มแบบง่าย
1. ต้องมีกรอบตัวอย่าง
2. อาจไม่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุด
3. ตัวอย่างที่ได้อาจไม่กระจาย
1.2.1      การสุ่มตัวอย่างแบบมีส่วนร่วม(systematic random sampling)
                     การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เป็นวิธีการสุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรที่ได้กำหนดไว้ในกรอบตัวอย่าง (sampling frame)
               ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
1.             กำหนดขนาดตัวอย่าง (sample size)
2.             คำนวณช่วงที่ใช้ในการสุ่มตัวอย่าง โดยการนำจำนวนประชากรทั้งหมดหารด้วยขนาดตัวอย่างที่
กำหนดไว้ในข้อ 1 หรือหาจากสูตร
 I = N/n
          3.    สุ่มหมายเลขตั้งต้นระหว่างหมายเลข 1 ถึง I จำนวน 1  หมายเลข โดยใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย เพื่อนำมาเป็นหมายเลขตั้งต้น ซึ่งได้หมายเลข R  สุ่มตัวอย่างจากประชากรในกรอบตัวอย่าง ให้ได้ขนาดตามที่กำหนดไว้ โดยใช้ หมายเลข R มาบวกกับค่าช่วงที่ใช้ในการสุ่มตัวอย่างที่คำนวณได้ในข้อ 2 โดยใช้สูตร R, R+I, R+2I, R+3I, …….. +R +(n=1)
                  1.3  การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling)  เป็นการสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่มีลักษณะแตกต่างกันมาก โดยนำลักษณะที่แตกต่างมาแบ่งชั้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้หน่วยตัวอย่างภายในชั้นเดียวกันมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด และหน่วยตัวอย่างระหว่างชั้นมากที่สุด เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้ครอบคลุมลักษณะต่างๆของประชากร ซึ่งจะทำให้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปยังประชากรได้
ข้อดี
1.    แม่นยำ
2.    สามารถแยกผลสรุปออกมาแต่ละกลุ่ม
ข้อเสีย
          ยากในการวัด sampling  error
         1.4   การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling)
                  การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มเหมาะสำหรับประชากรของงานวิจัยที่มีขนาดใหญ่มาก   ในกลุ่มจะมีลักษณะแตกต่างกัน  แต่จะมีลักษณะเหมือนกันระหว่างกลุ่ม  ดังนั้นจึงเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเป็นตัวอย่าง  และสุ่มตัวอย่างจากกลุ่มนั้น  เช่น  ถ้าทำการศึกษาคุณภาพชีวิตของประชากรในภาคเหนือ  ถ้าประชากรแต่ละจังหวัดของประชากรในภาคเหนือมีลักษณะเหมือนกัน  ก็สามารถเลือกจังหวัดหนึ่งมาเป็นตัวแทนเพื่อศึกษาได้
ข้อดี
1.          ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำ
2.          จะได้ชื่อตัวอย่างทั้งหมด
ข้อเสีย
       ไม่แม่นยำถ้ามีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม
        2.   วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช่ความน่าจะเป็น (non-probability  sampling)
               เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการที่ว่าหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน  มีข้อจำกัดในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติพาราเมตริกซ์ (parametric statistics)  เนื่องจากเงื่อนไขประการหนึ่งของสถิติพาราเมตริกซ์ คือ  กลุ่มตัวอย่างต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างตามหลักความน่าจะเป็น
             2.1  การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ หรือการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Accidental sampling or convenience sampling)  
                       เป็นการสุ่มตัวอย่างที่ใช้ความสะดวกของผู้วิจัย ผู้วิจัยสามารถรวบรวมข้อมูลได้จากกลุ่มตัวอย่างที่สนใจ  การรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวก แต่เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลที่มีจุดอ่อนในด้านความเป็นตัวแทนของประชากร ผลการวิจัยจึงมีขอจำกัดในการอ้างอิงไปยังประชากร ดังนั้นเพื่อให้ผลการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงไปยังประชากรจึงไม่ควรใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีนี้
            2.2     การสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีบอกต่อ (Snowballing sampling) 
                        เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับนำมาใช้กับประชากรของงานวิจัยที่หายากหรือพบได้น้อยมาก  รวมทั้ง               
ผู้วิจัยไม่อาจทราบจำนวนที่แน่นอนได้
ข้อดีของการศึกษาจากตัวอย่างขนาดใหญ่
1.       เพิ่มอำนาจการทดสอบทางสถิติ
2.       ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานลดลง
3.       ค่าสถิติมีค่าใกล้เคียงพารามิเตอร์
ข้อเสียของการศึกษาจากตัวอย่างขนาดใหญ่
        ไม่มีนัยสำคัญทางปฏิบัติ


วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2566

วิธีการเสาะแสวงหาความรู้ (Methods of acquiring knowledge)



มนุษย์มีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวมานานนับตั้งแต่ยุคเริ่มแรกมาแล้ว โดยเฉพาะความรู้ต่าง ๆ เพื่อที่จะนำมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆที่อยู่รอบตัว ความรู้ต่าง ๆ ของมนุษย์ ในปัจจุบันนี้ประกอบด้วย ข้อเท็จจริงและ ทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งนับวันจะมีข้อค้นพบมากยิ่งขึ้นไปตามระยะเวลา ซึ่งความรู้เหล่านี้ช่วยให้มนุษย์มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถที่จะอธิบาย ควบคุมหรือพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่กำหนดให้ได้ การเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์มิใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยสติปัญญา และการฝึกฝนต่าง ๆ ซึ่งมีวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์จำแนกได้ดังนี้
1.   วิธีโบราณ (Older methods) ในสมัยโบราณมนุษย์ได้ความรู้มาโดย
1.1    การสอบถามผู้รู้หรือผู้มีอำนาจ (Authority) เป็นการได้ความรู้จากการสอบถามผู้รู้ หรือผู้มีอำนาจ เช่น ในสมัยโบราณเกิดโรคระบาด ผู้คนก็จะถามจากผู้ที่มีอำนาจว่าควรทำ อย่างไร ซึ่งในสมัยนั้นผู้มีอำนาจก็จะแนะนำให้ทำพิธีสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ให้ช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ต่าง ๆ คนจึงเชื่อถือโดยไม่มีการพิสูจน์
1.2    ความบังเอิญ (Chance) เป็นการได้ความรู้มาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งไม่ได้เจตนาที่จะศึกษาเรื่องนั้นโดยตรง แต่บังเอิญเกิดเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์บางอย่างทำให้มนุษย์ได้รับความรู้นั้น เช่น เพนนิซิลินจากราขนมปัง
1.3    ขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition) เป็นการได้ความรู้มาจากสิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม ผู้ที่ใช้วิธีการนี้ ควรตระหนักด้วยว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีนั้น ไม่ใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงตรงเสมอไป ดังนั้นผู้ที่ใช้วิธีการนี้ควรจะได้นำมาประเมินอย่างรอบคอบเสียก่อนที่จะยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง      
1.4    ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) เป็นการได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เมื่อมีปัญหาหรือต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องใดก็ไปถามผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะเรื่องนั้น เช่น เรื่องดวงดาวต่าง ๆ ในท้องฟ้าจากนักดาราศาสตร์ เรื่องความเจ็บป่วยจากนายแพทย์

1.5    ประสบการณ์ส่วนตัว (Personal experience) เป็นการได้ความรู้จากประสบการณ์ที่ตนเคยผ่านมา  ประสบการณ์ของแต่ละบุคคลช่วยเพิ่มความรู้ให้บุคคลนั้น เมื่อประสบปัญหาก็พยายามระลึกถึงเหตุการณ ์หรือวิธีการแก้ปัญหาในอดีตเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ประสบอยู่              
1.6    การลองผิดลองถูก (Trial and error) เป็นการได้ความรู้มาโดยการลอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือปัญหาที่ไม่เคยทราบมาก่อน เมื่อแก้ปัญหานั้นได้ถูกต้องเป็นที่พึงพอใจ ก็จะกลายเป็นความรู้ใหม่ที่จดจำไว้ใช้ต่อไป ถ้าแก้ปัญหาผิดก็จะไม่ใช้วิธีการนี้อีก
2.   วิธีการอนุมาน (Deductive method) คิดขึ้นโดยอริสโตเติล (Aristotle) เป็นวิธีการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งเป็นกระบวนการคิดค้นจากเรื่องทั่ว ๆ ไปสู่เรื่องเฉพาะเจาะจง หรือคิดจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อยจากสิ่งที่รู้ไปสู่ สิ่งที่ไม่รู้ วิธีการอนุมานนี้จะประกอบด้วย
2.1    ข้อเท็จจริงใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจริงอยู่ในตัวมันเอง หรือเป็นข้อตกลงที่กำหนดขึ้นเป็นกฎเกณฑ์
2.2    ข้อเท็จจริงย่อย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงใหญ่ หรือเป็นเหตุผลเฉพาะกรณีที่ต้องการทราบความจริง
2.3      ผลสรุป เป็นข้อสรุปที่ได้จากการพิจารณาความสัมพันธ์ของเหตุใหญ่และเหตุย่อย      
ตัวอย่างการหาความจริงแบบนี้ เช่น 
ตัวอย่างที่ 1  ข้อเท็จจริงใหญ่ : สัตว์ทุกชนิดต้องตาย
ข้อเท็จจริงย่อย : แมวเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ผลสรุป : แมวต้องตาย        
ตัวอย่างที่ 2  ข้อเท็จจริงใหญ่ : ถ้าโรงเรียนถูกไฟไหม้ ครูจะเป็นอันตราย
ข้อเท็จจริงย่อย : โรงเรียนถูกไฟไหม้
ผลสรุป : ครูเป็นอันตราย    
ถึงแม้ว่าการแสวงหาความรู้โดยวิธีการอนุมาน จะเป็นวิธีการที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อจำกัด ดังนี้     
1. ผลสรุปจะถูกต้องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงใหญ่กับข้อเท็จจริงย่อย หรือทั้งคู่ ไม่ถูกต้องก็จะทำให้ข้อสรุปพลาด ไปด้วย ดังเช่นตัวอย่างที่ 2 นั้น การที่โรงเรียนถูกไฟไหม้ ครูในโรงเรียนอาจจะไม่เป็นอันตรายเลยก็ได้
2. ผลสรุปที่ได้เป็นวิธีการสรุปจากสิ่งที่รู้ไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ แต่วิธีการนี้ไม่ได้เป็นการยืนยันเสมอไปว่า ผลสรุปที่ได้จะเชื่อถือได้เสมอไป เนื่องจากถ้าสิ่งที่รู้แต่แรกเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนก็จะส่งผลให้ข้อสรุปนั้นคลาดเคลื่อนไปด้วย

3.   วิธีการอุปมาน (Inductive Method) เกิดขึ้นโดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) เนื่องจากข้อจำกัดของวิธีการอุมานในแง่ที่ว่าข้อสรุปนั้น จะเป็นจริงได้ต่อเมื่อข้อเท็จจริงจะต้องถูกเสียก่อน จึงได้เสนอแนะวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อย ๆ เสียก่อนแล้วจึงสรุปรวบไปหาส่วนใหญ่ หลักในการอุปมานนั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ
3.1   วิธีการอุปมานแบบสมบูรณ์ (Perfect inductive method) เป็นวิธีการแสวงหาความรู้โดยรวบรวม ข้อเท็จจริงย่อย ๆ จากทุกหน่วยของกลุ่มประชากร แล้วจึงสรุปรวมไปสู่ ส่วนใหญ่ วิธีนี้ปฏิบัติได้ยากเพราะบางอย่างไม่สามารถนำมาศึกษาได้ครบทุกหน่วย นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายมาก
3.2   วิธีการอุปมานแบบไม่สมบูรณ์ (Imperfect inductive method) เป็นวิธีการ เสาะแสวงหาความรู้ โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อย ๆ จากบางส่วนของกลุ่มประชากร แล้วสรุปรวมไปสู่ส่วนใหญ่ โดยที่ข้อมูลที่ศึกษานั้นถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่จะศึกษาทั้งหมด ผลสรุปหรือ ความรู้ที่ได้รับสามารถอ้างอิงไปสู่กลุ่มที่ศึกษาทั้งหมดได้ วิธีการนี้เป็นที่นิยมมากกว่าวิธีอุปมานแบบสมบูรณ์ เนื่องจากสะดวกในการปฏิบัติและประหยัดเวลา แรงงานและค่าใช้จ่าย
4.   วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นการเสาะแสวงหาความรู้โดยใช้หลักการของ วิธีการอนุมานแล ะวิธีการอุปมานมาผสมผสานกัน Charles Darwin เป็นผู้ริเริ่มนำวิธีการนี้มาใช้ ซึ่งเมื่อต้องการค้นคว้าหาความรู้ หรือแก้ปัญหาในเรื่องใดก็ต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อน แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการสร้างสมมติฐาน ซึ่งเป็นการคาดคะเนคำตอบล่วงหน้า ต่อจากนั้นเป็นการตรวจสอบปรับปรุงสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล และการทดสอบสมมติฐาน และJohn Dewey ปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วให้ชื่อวิธีนี้ว่า การคิดแบบใคร่ครวญรอบคอบ (reflective thinking) ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อของวิธีการทางวิทยาศาสตร์

เอกสารอ้างอิง1