วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567

 

นิยามเกี่ยวกับการวิจัย



นิยามเกี่ยวกับการวิจัย

1. การวิจัย  หมายถึง การศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ หรือทดลองอย่างมีระบบ โดยอาศัยอุปกรณ์หรือวิธีการ เพื่อให้พบข้อเท็จจริง หรือหลักการไปใช้ในการตั้งกฎ ทฤษฎี หรือแนวทางในการปฏิบัติ
2. ลักษณะของงานที่ถือว่าเป็นการวิจัย ควรจะประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินงานที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
        2.1 การคัดเลือกหัวข้อในการวิจัย  (selection of problem area)
        2.2 วิธีการเก็บและรวบรวมข้อมูล  (method of gathering data)
        2.3 การวิเคราะห์และการตีความข้อมูล (analysis and interpretation of the data)
         2.4 การเสนอผลการวิจัยและข้อสรุป  (conclusions and final report)
       กิจกรรม หรือลักษณะงานที่เป็นเพียงขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของการวิจัย เช่น การสำรวจเพื่อรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การทำรายงานหรือเผยแพร่ผลงานวิจัย หรือกิจกรรมสนับสนุนการวิจัย ได้แก่ การฝึกอบรมนักวิจัย การให้เงินอุดหนุนการวิจัย ฯลฯ เหล่านี้ไม่นับเป็นการวิจัยตามนิยามข้างต้น และสามารถแบ่งการวิจัยตามกลุ่มสาขาวิชาการใหญ่ ๆ ได้เป็น 2 ด้าน คือ
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง การสำรวจ วิเคราะห์ ทดลองอย่างมีระบบและเป็นขั้นตอนด้วยอุปกรณ์หรือวิธีพิเศษ เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ตลอดจนสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความรู้ หรือประสบการณ์ เพื่อเสนอความรู้ใหม่ เพื่อสุขภาพอนามัย ความผาสุกและความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ
การวิจัยทางสังคมศาสตร์ หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหาความจริงด้วยระบบและวิธีการทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ พฤติกรรม ปรากฏการณ์ หรือปฏิกิริยา ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์และสังคม เพื่อให้ทราบถึงความรู้และความจริงที่จะนำมาแก้ไขปัญหาของสังคม หรือก่อให้เกิดความรู้ใหม่
3. มิติหลักและองค์ประกอบการวิจัย   (core and functional dimension)
       3.1 ทิศทางการวิจัย (research direction) หมายถึง ลักษณะหรือแนวทางการทำวิจัยที่มุ่งไปสู่สิ่งที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต หากดำเนินการไปตามแนวทางนี้ การคาดหวังยังไม่เป็นรูปธรรมที่เป็นตัวเลขที่กำหนดไว้ แต่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นโดยลำดับ ทั้งนี้ ทิศทางการวิจัยเปรียบเสมือนนโยบายวิจัย (research policy)
        3.2 แผนวิจัย (research plan) หมายถึง โครงร่างข้อกำหนดที่ระบุเรื่องหรือลักษณะการดำเนินการในการทำวิจัยให้เป็นไปในทางสอดคล้องกับทิศทางการวิจัยหรือนโยบายวิจัยที่กำหนดไว้
         3.3 แผนงานวิจัย (research program) หมายถึง แผนที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อดำเนินการวิจัย ประกอบด้วยโครงการวิจัย (research project) หลาย ๆ โครงการ หรืออาจเรียกว่า ชุดโครงการวิจัย โดยมีความสัมพันธ์หรือสนับสนุนซึ่งกันและกัน มีลักษณะบูรณาการ (integration) ทำให้เกิดองค์รวม (holistic ideology) เป็นการวิจัยสหสาขาวิชาการ (multi-disciplines) และครบวงจร (complete set) โดยมีเป้าหมายที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน
2
 
          3.4 แผนงานวิจัยย่อย (research sub-program) หมายถึง หัวข้อการวิจัยภายใต้แผนงานวิจัย ซึ่งกำหนดลักษณะการทำงานวิจัยของโครงการวิจัย
           3.5 โครงการวิจัย (research project) หมายถึง รูปการที่กำหนดหรือคิดไว้ในการดำเนินการวิจัย โดยมีแผนการแสดงหัวข้อรายละเอียดในการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ หรือทดลองอย่างมีระบบที่แน่นอน ซึ่งหน่วยงานหนึ่ง ๆ หรือหลายหน่วยงานจะร่วมกันดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
           3.6 โครงการวิจัยย่อย (research sub-project) หมายถึง หัวข้อการวิจัยภายใต้โครงการวิจัย ซึ่งระบุถึงการวิจัยที่ดำเนินการ
           3.7 งานวิจัยย่อย (research task) หมายถึง เป็นขั้นสุดท้ายของแต่ละโครงการวิจัย (research project)
           3.8 กิจกรรมวิจัย (research activity) หมายถึง การแสดงหัวข้อเรื่องวิจัยที่จะต้องปฏิบัติในงานวิจัยย่อย โครงการวิจัย และแผนงานวิจัย โดยให้สอดคล้องและเป็นลำดับกับแผนการดำเนินงาน (work plan) ที่กำหนดไว้
4. ประเภทของการวิจัย (type of research) หมายถึง การวิจัยและพัฒนา (R&D) 3 ประกอบด้วย
           4.1 การวิจัยพื้นฐาน (basic research หรือ pure research หรือ theoretical research) เป็นการศึกษาค้นคว้าในทางทฤษฎี หรือในห้องทดลองเพื่อหาความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับสมมติฐานของปรากฏการณ์ และความจริงที่สามารถสังเกตได้ หรือเป็นการวิเคราะห์หาคุณสมบัติโครงสร้างหรือความสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อตั้งและทดสอบสมมติฐาน (hypothesis) ทฤษฎี (theories) และกฎต่าง ๆ (laws) โดยมิได้มุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์โดยเฉพาะ
             4.2 การวิจัยประยุกต์ (applied research) เป็นการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาความรู้ใหม่ ๆ และมีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นการนำเอาความรู้และวิธีการต่าง ๆ ที่ได้จากการวิจัยขั้นพื้นฐานมาประยุกต์ใช้อีกต่อหนึ่ง หรือหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ระบุไว้แน่ชัดล่วงหน้า
              4.3 การพัฒนาทดลอง (experimental development) เป็นงานที่ทำอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้ที่ได้รับจากการวิจัยและประสบการณ์ที่มีอยู่ เพื่อสร้างวัสดุ ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือใหม่ เพื่อการติดตั้งกระบวนการ ระบบและบริการใหม่ หรือเพื่อการปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นให้ดีขึ้น
5. สาขาวิชาการ หมายถึง สาขาวิชาการ และกลุ่มวิชาของสภาวิจัยแห่งชาติ ประกอบด้วย
             5.1 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชา คณิตศาสตร์ และสถิติ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโลกและอวกาศ ธรณีวิทยา อุทกวิทยา สมุทรศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ฟิสิกส์ของสิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
            5.2 สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชา วิทยาศาสตร์การแพทย์ แพทยศาสตร์ สาธารณสุข เทคนิคการแพทย์ พยาบาลศาสตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์การแพทย์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
             5.3 สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ประกอบด้วยกลุ่มวิชา อนินทรีย์เคมี อินทรีย์เคมีชีวเคมี เคมีอุตสาหกรรม อาหารเคมี เคมีโพลิเมอร์ เคมีวิเคราะห์ ปิโตรเลียม เคมีสิ่งแวดล้อม เคมีเทคนิค นิวเคลียร์เคมี เคมีเชิงฟิสิกส์ เคมีชีวภาพ เภสัชเคมีและเภสัชวิเคราะห์ เภสัชอุตสาหกรรม เภสัชกรรม เภสัชวิทยาและพิษวิทยา เครื่องสำอาง เภสัชเวช เภสัชชีวภาพ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3
 
              5.4 สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ประกอบด้วยกลุ่มวิชา ทรัพยากรพืช การป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทรัพยากรสัตว์ ทรัพยากรประมง ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร ระบบเกษตร ทรัพยากรดิน ธุรกิจการเกษตร วิศวกรรมและเครื่องจักรกลการเกษตร สิ่งแวดล้อมทางการเกษตร วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.5 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ประกอบด้วยกลุ่มวิชา วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีพื้นฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมอุตสาหกรรมวิจัย และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.6 สาขาปรัชญา ประกอบด้วยกลุ่มวิชา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วรรณคดี ศิลปกรรม ภาษา สถาปัตยกรรม ศาสนา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.7 สาขานิติศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชา กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายธุรกิจ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายวิธีพิจารณาความ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.8 สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายศาสตร์ อุดมการณ์ทางการเมือง สถาบันทางการเมือง ชีวิตทางการเมือง สังคมวิทยาทางการเมือง ระบบการเมือง ทฤษฎีการเมือง รัฐประศาสนศาสตร์ มติสาธารณะ ยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง เศรษฐศาสตร์การเมือง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.9 สาขาเศรษฐศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชา เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ บริหารธุรกิจ การบัญชี และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.10 สาขาสังคมวิทยา ประกอบด้วยกลุ่มวิชา สังคมวิทยา ประชากรศาสตร์ มานุษยวิทยา จิตวิทยาสังคม ปัญหาสังคม สังคมศาสตร์ อาชญาวิทยา กระบวนการยุติธรรม มนุษย์นิเวศวิทยาและนิเวศวิทยาสังคม พัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิศาสตร์สังคม การศึกษาความเสมอภาคระหว่างเพศ คติชนวิทยา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                5.11 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม การสื่อสารด้วยดาวเทียม การสื่อสารเครือข่าย การสำรวจและรับรู้จากระยะไกล ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ สารสนเทศศาสตร์ นิเทศศาสตร์ บรรณารักษ์ศาสตร์ เทคนิคพิพิธภัณฑ์และภัณฑาคาร และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                 5.12 สาขาการศึกษา ประกอบด้วยกลุ่มวิชา พื้นฐานการศึกษา หลักสูตรและการสอนการวัดและประเมินผลการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา บริหารการศึกษา จิตวิทยาและการแนะแนวการศึกษา การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาพิเศษ พลศึกษา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทคัดย่องานวิจัยครูจุ๋ม



ชื่อเรื่อง           รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่
                         ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ โดยการใช้ชุดการสอน
ผู้ศึกษา           นางสาวจุฑารัตน์ อุสาทรัพย์

บทคัดย่อ

                   วิทยาศาสตร์เป็นสาระการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านการคิดของมนุษย์ และเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาศาสตร์อื่นๆ จากรายงานผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ของนักเรียนโรงเรียนกลันทาพิทยาคม ตั้งแต่ในปีการศึกษา 2549 - 2550ปรากฏว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงต้องหาวิธีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น 
                   ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึงได้สร้างและพัฒนาชุดการสอนเพื่อใช้เป็นนวัตกรรมในการพัฒนาศักยภาพของนักเรียน โดยมีวัตถุประสงค์ข้อที่เพื่อสร้างและพัฒนาชุดการสอน เรื่อง เซลล์โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ 31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ข้อที่ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ก่อนและหลังเรียนโดยการใช้ชุดการสอน เรื่องเซลล์โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ข้อที่ 3 ศึกษาค่าดรรชนีประสิทธิผลของชุดการสอน เรื่องเซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 และข้อที่ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1/ที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอน เรื่องเซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ จำนวน หน่วยย่อย เวลา 14 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอนเรื่อง เซลล์โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการใช้ชุดการสอน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ระดับ จำนวน 15 ข้อ
                   กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา2551โรงเรียนกลันทาพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน1ห้องเรียน จำนวน25คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง
 (Purposive  Sampling) 

                   ผลการสร้างและพัฒนาปรากฏดังนี้
1. ชุดการสอน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ที่สร้างขึ้น ผ่านการทดลองใช้ครั้งที่ 1ครั้งที่ และครั้งที่ พบว่า ค่าประสิทธิภาพของชุดการสอน (E1/E2มีค่าเท่ากับ 78.57/75.56,82.25/80.74 และ 83.68/83.50 ตามลำดับ แล้วนำมาพัฒนาและปรับปรุงแก้ไข แล้วนำมาใช้จริงภาคสนามกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ปีการศึกษา 2551 ได้ค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้คือเท่ากับ 86.48/87.06 ซึ่งหมายความว่า นักเรียนทำแบบทดสอบหน่วยย่อย และกิจกรรมต่างๆ ระหว่างเรียนโดยชุดการสอน ได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 86.48 และสามารถทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 87.06 แสดงว่าชุดการสอน เรื่องเซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 ที่ตั้งไว้
2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ก่อนและหลังการเรียนโดยการใช้ชุดการสอน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์  วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ พบว่ามีคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ชุดการสอน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ เป็นนวัตกรรมในการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนสามารถทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นได้
                         3. การศึกษาค่าดรรชนีประสิทธิผลของชุดการสอน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1พบว่า ค่าดรรชนีประสิทธิผลของของชุดการสอน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นี้มีค่าดรรชนีประสิทธิผล (E.I) เท่ากับ 0.6854 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนด้วยชุดการสอนเรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.54
                        4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ที่เรียนโดยการใช้ชุดการสอน เรื่อง เซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว 31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอนในด้านบวก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.75 และ S.D. = 0.69)
                   จากการศึกษาพบว่าชุดการสอน เรื่องเซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ วิชาวิทยาศาสตร์ ว31101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ และทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มมากขึ้น และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยการใช้ชุดการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนั้นชุดการสอนจึงเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่เหมาะสมในการนำไปใช้จัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กลุ่มตัวอย่าง



กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
          กลุ่มตัวอย่าง  หมายถึง  ส่วนหนึ่งของประชากรที่ผู้วิจัยสุ่มมาศึกษาในงานวิจัย
          ในงานวิจัย ผู้วิจัยอาจศึกษาจากประชากรหรือศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วหากประชากรมีขนาดใหญ่จะศึกษาจากลุ่มตัวอย่างแทนประชากร
การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
           1.  การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยการคำนวณจากสูตร  โดยใช้การกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนที่นิยมใช้ แบ่งออกได้เป็น วิธี คือ
                    1.1  การคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างในกรณีที่ทราบจำนวนประชากร หรือในกรณีที่ประชากรมีจำนวนจำกัดที่นับได้
 
         2.   การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูป
              2.1  ตารางสำเร็จรูปหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane
              2.2  ตารางสำเร็จรูปคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างของ R.V.Krejcie และ D.W.Morgan

การสุ่มตัวอย่างจากประชากร (Random selection)
         การสุ่มตัวอย่างจากประชากรมีวัตถุประสงค์ คือ  เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ซึ่งจะช่วยให้ผลการวิจัยมีความตรงภายนอก  สามารถอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัยผลการวิจัยที่ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างและอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัย ประชากรที่จะอ้างอิงถึงได้นั้นจะต้องเป็นประชากรที่มีลักษณะเหมือนกับลักษณะของกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยซึ่งลักษณะที่เหมือนกันนี้ ครอบคลุมทั้งในด้านคุณลักษณะ บริบท หรือสถานที่ และเวลา
         การสุ่มตัวอย่างจากประชากร มีความสำคัญมากสำหรับงานวิจัยเชิงสำรวจ (survey  research)
วิธีการสุ่มตัวอย่าง (sampling methods)
         วิธีการสุ่มตัวอย่าง จำแนกเป็น วิธีหลัก ๆ ได้แก่
         1. วิธีสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น (Probability  sampling)  
              วิธีการสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างโดยหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างเท่าเทียมกัน ปราศจากอคติหรือความลำเอียงในการสุ่มตัวอย่าง  การสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็นทำให้มั่นใจว่าจะได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรสูงกว่าการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น  ข้อมูลที่รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มโดยใช้หลักความน่าจะเป็น   สามารถนำมาทดสอบนัยสำคัญทางสถิติโดยใช้สถิติอ้างอิง และผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจัยได้
         1.1  การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (simple random sampling)  
                 การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เป็นวิธีการสุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากร มีโอกาสถูกสุ่มเท่าเทียมกัน โดยปราศจากอคติ ความลำเอียง   ส่วนความไม่เท่าเทียมกันในด้านคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างเป็นความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดจากการสุ่ม (random error)  ซึ่งเป็นความคลาดเคลื่อนโดยบังเอิญ
วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายที่นิยมใช้
1.    วิธีจับฉลาก
2.    วิธีใช้ตารางเลขสุ่ม
ข้อดีของการสุ่มแบบง่าย
1.ง่าย
2.ความผิดพลาดจากการสุ่มจัดได้ง่าย
ข้อเสียของการสุ่มแบบง่าย
1. ต้องมีกรอบตัวอย่าง
2. อาจไม่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุด
3. ตัวอย่างที่ได้อาจไม่กระจาย
1.2.1      การสุ่มตัวอย่างแบบมีส่วนร่วม(systematic random sampling)
                     การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เป็นวิธีการสุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรที่ได้กำหนดไว้ในกรอบตัวอย่าง (sampling frame)
               ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
1.             กำหนดขนาดตัวอย่าง (sample size)
2.             คำนวณช่วงที่ใช้ในการสุ่มตัวอย่าง โดยการนำจำนวนประชากรทั้งหมดหารด้วยขนาดตัวอย่างที่
กำหนดไว้ในข้อ หรือหาจากสูตร
 I = N/n
          3.    สุ่มหมายเลขตั้งต้นระหว่างหมายเลข ถึง จำนวน  หมายเลข โดยใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย เพื่อนำมาเป็นหมายเลขตั้งต้น ซึ่งได้หมายเลข R  สุ่มตัวอย่างจากประชากรในกรอบตัวอย่าง ให้ได้ขนาดตามที่กำหนดไว้ โดยใช้ หมายเลข มาบวกกับค่าช่วงที่ใช้ในการสุ่มตัวอย่างที่คำนวณได้ในข้อ โดยใช้สูตร R, R+I, R+2I, R+3I, …….. +R +(n=1)
                  1.3  การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling)  เป็นการสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่มีลักษณะแตกต่างกันมาก โดยนำลักษณะที่แตกต่างมาแบ่งชั้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้หน่วยตัวอย่างภายในชั้นเดียวกันมีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด และหน่วยตัวอย่างระหว่างชั้นมากที่สุด เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้ครอบคลุมลักษณะต่างๆของประชากร ซึ่งจะทำให้กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร ผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปยังประชากรได้
ข้อดี
1.    แม่นยำ
2.    สามารถแยกผลสรุปออกมาแต่ละกลุ่ม
ข้อเสีย
          ยากในการวัด sampling  error
         1.4   การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling)
                  การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มเหมาะสำหรับประชากรของงานวิจัยที่มีขนาดใหญ่มาก   ในกลุ่มจะมีลักษณะแตกต่างกัน  แต่จะมีลักษณะเหมือนกันระหว่างกลุ่ม  ดังนั้นจึงเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเป็นตัวอย่าง  และสุ่มตัวอย่างจากกลุ่มนั้น  เช่น  ถ้าทำการศึกษาคุณภาพชีวิตของประชากรในภาคเหนือ  ถ้าประชากรแต่ละจังหวัดของประชากรในภาคเหนือมีลักษณะเหมือนกัน  ก็สามารถเลือกจังหวัดหนึ่งมาเป็นตัวแทนเพื่อศึกษาได้
ข้อดี
1.          ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำ
2.          จะได้ชื่อตัวอย่างทั้งหมด
ข้อเสีย
       ไม่แม่นยำถ้ามีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม
        2.   วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช่ความน่าจะเป็น (non-probability  sampling)
               เป็นวิธีสุ่มตัวอย่างโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการที่ว่าหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน  มีข้อจำกัดในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติพาราเมตริกซ์ (parametric statistics)  เนื่องจากเงื่อนไขประการหนึ่งของสถิติพาราเมตริกซ์ คือ  กลุ่มตัวอย่างต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างตามหลักความน่าจะเป็น
             2.1  การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ หรือการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Accidental sampling or convenience sampling)  
                       เป็นการสุ่มตัวอย่างที่ใช้ความสะดวกของผู้วิจัย ผู้วิจัยสามารถรวบรวมข้อมูลได้จากกลุ่มตัวอย่างที่สนใจ  การรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวก แต่เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลที่มีจุดอ่อนในด้านความเป็นตัวแทนของประชากร ผลการวิจัยจึงมีขอจำกัดในการอ้างอิงไปยังประชากร ดังนั้นเพื่อให้ผลการวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงไปยังประชากรจึงไม่ควรใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีนี้
            2.2     การสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีบอกต่อ (Snowballing sampling
                        เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับนำมาใช้กับประชากรของงานวิจัยที่หายากหรือพบได้น้อยมาก  รวมทั้ง               
ผู้วิจัยไม่อาจทราบจำนวนที่แน่นอนได้
ข้อดีของการศึกษาจากตัวอย่างขนาดใหญ่
1.       เพิ่มอำนาจการทดสอบทางสถิติ
2.       ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานลดลง
3.       ค่าสถิติมีค่าใกล้เคียงพารามิเตอร์
ข้อเสียของการศึกษาจากตัวอย่างขนาดใหญ่
        ไม่มีนัยสำคัญทางปฏิบัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น